วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Kidnapped

1
David meets his uncle
                ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 1751 ผมปิดประตูบ้านของพวกเราเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งมันเคยเป็นที่อยู่ของผม ทั้งชีวิตของผม ผมได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน Essendean เป็นหมู่บ้านเล็กๆเงียบๆ ตั้งอยู่ในเมือง Lowland ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นที่ซึ่งพ่อของผมได้เป็นครูและมาประจำการอยู่ที่นี้ แต่บัดนี้พ่อและแม่ทั้งสองคนก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว ผมจึงต้องออกจากบ้านหลังนี้ไป  ในไม่ช้าครูคนใหม่ก็จะย้ายเข้ามาสอนที่โรงเรียนและอยู่ในบ้านหลังนี้ ถึงแม้ว่าผมเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุ17 ปีเท่านั้นเอง ไม่มีที่อยู่และไม่มีเหตุผลอันใดที่จะอยู่ในเมืองนี้อีกต่อไป
                หัวใจของผมกำลังเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นเหมือนกับเดินบนถนน ในมือของผมถือจดหมายที่พ่อได้ให้ไว้ก่อนตาย พ่อได้บอกไว้ว่า “Davie ถ้าฉันได้ตายลงวันใดให้นำจดหมายนี้ไปให้ถึงบ้านของ Shawsซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Cramond ซึ่งฉันก็เคยมาจากที่นั่นและมันก็เป็นที่ที่แกต้องไปเช่นกัน นำจดหมายนี้ไปให้ถึงมือของ Ebenezer Balfour
                Baldfour เป็นสกุลเดียวกับผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อครอบครัวของเรานอก Essendean
                ดังนั้นผมได้ตัดสินใจเดินทางไปยัง Cramond หวังว่าบางที Mr. Baldfour ในบ้านหลังใหญ่ของเขา จะต้อนรับผมด้วยความยินดี ช่วยให้ผมเป็นคนรวยในสักวันหนึ่ง  ผมได้เดินเร็วขึ้นไปยังเนินเขาที่ห่างออกไปจากหมู่บ้าน ซึ่งมีผ้าลายสก็อตที่ห่อหุ้มไหล่ของผมไว้ มันเป็นอะไรที่ท้าทายเป็นอย่างมากที่ได้ออกจากเมืองที่หลับใหลและไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  ได้เดินทางไปยังบ้านที่ยอดเยี่ยมและวุ่นวาย เพื่อที่จะไปอยู่กับคนรวยและเป็นบุคคลสำคัญซึ่งเขามีสายเลือดเดียวกับผม แต่เมื่อผมไปถึงยังยอดเขา ผมก็มีอาการเศร้าเล็กน้อยเมื่อได้หันไปเห็นบ้านพักครูเป็นครั้งสุดท้าย และสุสานแห่ง Essendean ซึ่งเป็นที่ฝังศพของพ่อและแม่
                การเดินทางไปยังทิศเหนือของผมกินเวลาไปเกือบจะสองวัน  ในครึ่งวันของวันที่สอง ผมสามารถมองเห็นฟันกำลังลอยออกจากปล่องไฟของ Edinburgh ในเบื้องหน้าของผม และอีกไม่นานก็จะถึงเมือง Cramond
                ตอนนี้ผมกำลังถามหาบ้านของShawsกับคนที่กำลังสัญจรไปมาอยู่บนถนน แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของพวกเขาจะไม่ค่อยไว้ใจผมสักเท่าไหร บางคนดูเหมือนว่าจะประหลาดใจ บางคนก็กลัว บางคนก็โกรธ เมื่อผมได้พูดชื่อ Edenzer Balfour ผมไม่สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ก็มาไกลเกินที่จะกลับไปยัง Essendean  และผมก็ยังต้องการค้นหาที่พักของครอบครัว Baldfour เป็นอย่างมาก ดังนั้นผมก็ได้เดินทางต่อไป ในขณะที่ผมเผชิญกับความมืด มีผู้หญิงคนหนึ่งดูเหมือนว่าเป็นคนป่าเดินตรงมาที่ผม ผมถามเธอว่าบ้านของ Shaws อยู่ที่ไหน เธอก็ได้บอกกับผมว่าอยู่บนยอดเขาถัดไป และเธอก็ได้บอกผมอีกว่ามีตึกใหญ่โตตั้งอยู่เดียวดายในส่วนท้ายของหุบเขาถัดไป ถึงแม้ว่าสนามหญ้ารอบๆจะมีสีเขียวและแปลงเกษตรจะยอดเยี่ยมแล้ว ตัวบ้านก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่เสร็จสมบูรณ์และว่างเปล่า บางส่วนของหลังคากำลังจะหายไป ไม่มีที่จะไปถึงมัน ไม่มีฟันออกมาจากปล่องเลย และก็ไม่มีสวนรอบมันเลย
                ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ผมร้องออกไป
                มันต้องเป็นแบบนั้น ผู้หญิงคนนั้นร้องออกมาอย่างโกรธแค้น นั้นมันบ้านของ Shaws เลือดสร้างมันขึ้นมา และมันก็ต้องหยุดด้วยเลือดเช่นกัน เลือดจะทำให้มันพังลงมา หัวใจของ Ebenezer Balfour เป็นสีดำฝากไปบอกเขาด้วยนะว่าฉันหวังที่จะเห็นเขาตาย และบ้านหลังนั้นพังลงมาต่อหน้าต่อตาเขา
                ผู้หญิงหันกลับแล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผมยืนอยู่ที่เธอได้หายไป ตัวผมสั่นคล้ายกับใบไม้ร่วง และมองไปยังบ้านหลังนั้นเป็นเวลานาน แต่เมื่อความมือเริ่มปกคลุม ผมสังเกตเห็นฟันออกมาจากปล่องไฟ ผมรู้สึกมีหวังขึ้นเล็กน้อย ผมคิดว่า ต้องมีไฟและคนกำลังทำอาหารอยู่ในบ้าน ดังนั้นผมจึงเดินตรงไปยังหน้าประตู ดูเหมือนว่าบ้านถูกล็อคอยู่และไม่มีการต้อนรับใดๆ แต่มีแสงไฟสว่างลอดผ่านมาจากหน้าต่างในครัว และผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังพูดคุยกับตัวเขาเองอย่างเบาๆ ผมรวบรวมความกล้า ยกมือเคาะประตูที่แข็งแรงซึ่งทำจากไม้อย่างดัง ทันใดนั้นในบ้านหลังนั้นก็เงียบลงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ผมเคาะแล้วเคาะอีก และตะโกนดังๆเท่าที่จะดังได้  สุดท้ายหน้าต่างก็เปิดออกมา มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังถือปืนแล้วก็เล็งออกมา
                ต้องการอะไรเขาถาม
                ผมได้มาที่นี้พร้อมจดหมายของ Ebenezer Balfour ที่ส่งถึง Shaws เขาอยู่นี่ไหม
                “เป็นใครมาจากไหนผู้ชายที่ถือปืนได้เอยถาม
                นั้นมันไม่ใช่เรื่องของคุณผมตอบเขาไปอย่างโมโห
                งั้นก็ดี ตั้งจดหมายลงหน้าประตู แล้วก็ไปซะ
จะไม่มีวันทำแบบนั้นผมตอบเขาไปอย่างรุนแรง  ผมจะนำจดหมายนี้ไปให้ถึงมือของ Balfour เองจดหมายนี้จะแนะนำผมให้เขารู้จักผม
แล้วแกเป็นใครละเป็นคำถามต่อมา
ผมไม่ละอายใจเลยกับชื่อของผม  David Balfour”
ผู้ชายคนนั้นแทบจะทิ้งปืนลง หลังจากเถียงกันอยู่พักใหญ่ เขาก็ถามผมด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป พ่อของแกตายแล้วรึผมก็แปลกใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เขาก็พูดต่อไป ใช่ เขาต้องตาย แล้วทำไมถึงให้แกมาที่นี้ละ งั้นก็ดีแล้ว ฉันจะให้แกอยู่ด้วยแล้วเขาก็หายไปจากหน้าต่าง
มาถึงตอนนี้ประตูก็ถูกปลดล็อค และมีเสียงออกมาจากความมืดบอกว่า  เข้าไปในห้องครัวและอย่าสัมผัสอะไรทั้งนั้นผมก็ยอมทำตาม ในขณะผู้ชายคนนั้นได้ล็อคประตูอันหนักอึ้งอย่างระมัดระวังอีกครั้งหนึ่ง ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องครัวที่ไม่มีอะไรเลย เท่าที่ผมเคยเห็นมา ถึงมันจะมีไฟแต่มันก็ไม่มีแสงอื่นเลย บนโต๊ะมีถ้วยข้าวโอ๊ต และแก้วน้ำตั้งอยู่ ข้างหน้าก็มีเพียงแต่เก้าอี้ตั้งอยู่ รอบๆฝาผนังมีเพียงหีบที่ถูกล็อคตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นเลย ผู้ชายที่ปรากฏในครัวขณะนี้เป็นคนตัวเล็กใบหน้าซีดเซียว สวมเสื้อนอนเก่าๆและสกปรก สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของเขานั้น เขาจ้องหน้าของผมอย่างแปลกๆโดยไม่ละสายตาไปจากผมเลย
ถ้ามึงหิวเขาพูดขึ้น มึงก็กินข้าวโอ๊ตนั้นซะ มันเป็นอาหารชั้นเยี่ยมเลยแหละ ข้าวโอ๊ตนะ ไหนข้าขอดูจดหมายนั้นหน่อยสิ
มันเป็นของ Mr. Balfour ไม่ใช่เรื่องของคุณผมตอบเขาไป
แล้วแกคิดว่าข้าเป็นใครละ ไหนเอาจดหมายของ Alexander มาให้ข้าสิ บางทีแกก็ไม่ชอบข้า บ้านของข้า หรือข้าวโอ๊ตของข้า แต่ข้าก็เป็นลุงแท้ๆของแกนะ ไอ้หลานชาย
แล้วความฝันของผมก็หมดลง ผมแทบจะหมดเรี่ยวแรงและอนาถใจมากที่จะพูดอะไรออกมา ผมก็ได้แค่ส่งจดหมายให้เขาอย่างนิ่งๆ และก็นั่งลงเพื่อที่จะกินข้าวโอ๊ต
พ่อของแกตายมานานแล้วเหรอเขาถามผม และพลันหันมาจ้องผมด้วยสายตาที่เฉียบคม
สามสัปดาห์แล้วครับ ลุงผมพูดไป
“Alexander เป็นคนที่ซ่อนเร้นปิดบังบางทีคงไม่บอกเรื่องของฉันและอะไรที่เกี่ยวกับบ้านของ Shaws เลยใช่ไหม
ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อเขามีพี่ชาย หรือว่าเคยได้ยินชื่อ Shawsมาก่อนเลยครับลุง
ข้าก็คิดแบบนั้นเขาตอบ เขาเป็นผู้ชายแปลกๆคนหนึ่ง แต่เขาก็ดูเหมือนว่าเป็นคนที่ใจดีเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเขาเขาก็กระโดขึ้นและพูดว่า เราจะต้องดีขึ้นกว่านี้แน่นอน Davie อะไรที่เป็นของข้ามันก็เหมือนเป็นของแก อะไรที่เป็นของก็เหมือนเป็นของข้า ไอ้หลานชาย ตระกูล Balfour มีเพียงแกกับข้าสองคนแล้วนะ ตอนนี้ข้าจะพาแกไปห้องนอนของแกก่อน
มีไฟไหม คุณลุงผมถาม
ไม่ ไม่มีไฟในบ้านหลังนี้ ข้ากลัวไปแกรู้ไหม ราตรีสวัสดิ์ Davie ไอ้หลานชายก่อนที่ผมจะมีเวลาจะตอบเขา เขาก็ดึงประตูมาปิดแล้วก็ล็อคประตูจากด้านนอก ในห้องนั้นเป็นห้องที่หนาวมาก แต่ก็โชคดีที่มีผ้าลาย สก็อตที่ผมพกติดตัวมาด้วย ผมก็นำมันมาห่อตัวผมคล้ายดังผ้าห่ม และในไม่ช้าผมก็เผลอหลับไป
วันต่อมา ลุงกับผมทานอาหารเช้ามื้อเที่ยงและก็มื้อด้วยข้าวโอ๊ตถ้วยเล็กๆและน้ำหนึ่งแก้วเท่านั้น  เขาไม่ค่อยจะพูดอะไรกับผมเลย และก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดหนัก บ่อยครั้งที่ผมสังเกตเห็นเขาจ้องมาที่ผม ในขณะที่ผมแสร้งทำอะไรผิดแปลกไป แล้วเขาก็ไม่เคยปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวนั้นในห้องครัวกับหีบที่ถูกล็อคผมคิดว่าในนั้นเขาคงจะเก็บเงินของเขาไว้ ผมไม่ชอบให้เขาจ้องมองมาที่ผมเลย มันเริ่มจะแปลกประหลาด หรือบางทีก็อันตราย
หลังจากทานอาหารเย็นเขาก็พูดขึ้นในทันทีทันใดนั้น “Davie ข้าคิดมาตลอด ข้าเคยสัญญากับพ่อของแกไว้ว่าจะให้เงินกับแก  ก่อนที่แกจะเกิด สัญญาต้องเป็นสัญญา และนี้จะเป็นเงินที่ข้าให้แก 40 ปอนด์ คำที่เขาพูดคำสุดท้ายนั้นดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แล้วเขาได้พูดออกมาว่า “Scots!”
เงินปอนด์ของสก็อตมันเหมือนเงินชีลลิงของอังกฤษ ผมเห็นว่าเรื่องของเขาเป็นเรื่องโกหก ดังนั้นผมได้หัวเราะเรื่องที่เขาพูดมา โอ้ คิดใหม่อีกครั้ง เจ้าหนุ่ม แน่ใจหรือว่ามันเป็นเงินปอนด์ของอังกฤษ
นั้นผมก็บอกไปแล้วนิผมได้ตอบลุงของผมอย่างฉับพลัน ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะให้เงินแก
ผมเดินยิ้มออกไป และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้อะไรกับผมเลย เมื่อยามพลบค่ำผมได้ยินเสียงลมจากภูเขาอย่างถนัดหู บางทีอาจจะมีพายุในเวลาต่อมา ผมคิดแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยในคืนนี้
แต่เมื่อคุณลุงได้เรียกผมกลับไปอีกครั้ง เขาได้นับเหรียญทองสามสิบแปดปอนด์แล้วยัดใส่ในมือของผม แต่ผมก็ไม่สนใจเรื่องนั้นเลย มันน่าแปลกใจและน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ผมขอบคุณเขาอย่างกระตือรือร้น
บัดนี้เขาพูด แล้วมองมาที่ผมอย่างแยบยล แกสามารถให้บางสิ่งบางอย่างกับข้าได้นะ Davie ตอนนี้ฉันก็แก่ลงเรื่อยๆ ข้าต้องการความช่วยเหลือ
แน่นอนครับลุง ผมตอบไป แล้วอะไรละที่จะให้ผมทำ
นั้นก็ดี ออกไปข้างนอกแล้วปีนบันไดไปยังส่วนท้ายสุดของบ้านที่ยังทำไม่เสร็จที แล้วขึ้นไปยังห้องบนสุดแล้วนำหีบลงมาแกก็จะได้เจอกับกระดาษอันมีค่าที่อยู่ข้างใน
ขอไฟให้ผมหน่อยได้ไหม คุณลุงผมถาม
ไม่เขาตอบอย่างรุนแรง ไม่มีไฟในบ้านของฉัน
ดีมากเลยคุณลุง แล้วบันไดมันยังใช้ได้อยู่ไหม
พวกมันยังยอดเยี่ยมอยู่เขาพูดออกมาบันไดยังยอดเยี่ยมอยู่
ช่วยนำผมออกไปจากเวลากลางคืนหน่อย ผมรู้สึกเหมือนว่าทางที่ผมเดินไปมันออกห่างจากผนังเรื่อยๆ และทันใดนั้นแสงไฟแวบเข้ามา แล้วความมืดดำก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง ผมพบบันใดแล้วก็เริ่มปีนมันขึ้นไป ผมอยู่ห่างจากพื้นดินประมาณ 15 เมตร เมื่อมีฟ้าแลบเข้ามา นั้นนับว่าเป็นความโชคดีของผมเพราะมันจะให้ผมเห็นขั้นบันใดที่มันไม่สม่ำเสมอ ที่จะทำให้ผมตกลงไปตายได้ง่าย ผมคิดว่านี่เหรอบันใดที่ยอดเยี่ยม บางทีคุณลุงของผมก็ต้องการให้ผมตายไป แต่ตอนนี้ผมเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ผมใช้มือควานหาบันใดแต่ละขั้นก่อนที่จะย่างเท้าขึ้นไป ถัดมาประมาณขั้นสองขั้นเห็นจะได้มือของผมก็สัมผัสกับหินที่เย็นเยือก และแล้วมันก็ไม่มีอะไร บันใดก็ได้สิ้นสุดลงซึ่งมีความสูงห่างจากพื้นดิน 20 เมตร ผมหนาวสั่นไปด้วยความกลัว เมื่อผมคิดถึงอันตรายที่เจอในเบื้องหน้า การส่งคนแปลกหน้าขึ้นบันไดไปภายใต้ความมืดก็เหมือนส่งตรงพวกเขาไปเผชิญกับความตาย
ผมหันกลับแล้วหาทางที่จะลงไปด้านล่างซึ่งโมโหเป็นอย่างมาก มีเสียงฟ้าฝ่าและในทันนั้นฝนก็ได้ตกลงมา ในส่วนล่างสุดของบันใด ผมมองไปทางห้องครัว ผมสามารถเห็นมันได้ก็เพราะแสงฟ้าแลบ คนหนึ่งคนกำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าและกำลังฟังอยู่ เมื่อเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้งแล้วมันก็ดังขึ้นกว่าเดิม เขาก็วิ่งออกไปข้างนอก ผมก็ตามเขาไปอย่างเบาๆเท่าที่จะเบาได้ ผมพบเขานั่งอยู่ในครัว และกำลังกระดกเหล้าจากขวด และตัวสั่นด้วยความกลัว ผมย่องไปด้านหลังเขาอย่างเบาๆ และทันใดนั้นก็วางมือบนไหล่ของเขาแล้วก็ร้อง Ahออกมา
คุณลุงก็ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด และร่วงลงไปกองกับพื้นคล้ายกับได้สิ้นใจลงไปแล้ว หน้าของเขาดูเขียวแปลกๆ ผมก็เริ่มคิดว่าเขาได้ตายจริงๆ ในที่สุดเขาลืมตาขึ้นแล้วมองเห็นผม โอ้ ไอ้หลานชาย แกยังมีชีวิตอยู่เหรอหรือว่าแกเป็นผีวะเขาร้องออกมา ขอยาให้ข้าหน่อยสิ Davie มันเป็นยาที่รักษาหัวใจของข้านะ ผมพบขวดยาและนำยาไปให้เขา ในไม่ช้าเขาก็เริ่มที่จะดีขึ้น
ทำไมถึงโกหกผมละผมถามอย่างโกรธแค้น ตอบผมมาสิว่าทำไมเอาเงินมาให้ผม และทำไมต้องคิดที่จะฆ่าผม
ข้าจะบอกแกพรุ่งนี้ ฉันสัญญานะ Davie ช่วยพาข้าไปที่เตียงหน่อยได้ไหมเขายังคงดูเหมือนยังไม่ดีขึ้นเลย ดังนั้นผมก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ แต่เวลานี้ผมก็ได้ล็อคห้องนอนของเขาก่อนที่ผมจะไปนอนที่หน้าห้องครัว
เมื่อผมได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมรู้สึกดีเป็นอย่างมากกับตัวผมเอง เขาคงคิดว่าเขาจะฉลาดไปกว่าผมเหรอ แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปแบบนั้น ผมคิด ก่อนที่ผมจะปล่อยให้คุณลุงออกจากห้อง ผมถามเขาอีกครั้งเพื่อที่จะหาคำอธิบาย ผ่านไปสักครู่หนึ่งเขาก็ได้พูดออกมาว่า “ Davie ข้าได้ทำธุรกิจบางอย่างกับกัปตันเรือสำราญของQueenferry แต่ตอนนี้เราก็ไม่สามารถไปที่นั้นได้ เมื่อข้าได้ทำธุรกิจ เราก็ต้องไปหานาย Rankeillor ซึ่งเป็นทนายความ เขาจะแก้ปัญหาของเราได้ทั้งหมด เขาเป็นบุคคลที่มีเกียรติ และยังเป็นคนที่รู้จักพ่อของแกเป็นอย่างดี แกมีอะไรจะพูดไหม
ผมคิดอยู่ขณะหนึ่ง ผมไม่เคยเห็นทะเลมาก่อน และผมก็ต้องการที่ไปทะเลอยู่เสมอ มันเป็นความคิดที่สุดยอดผมพูด
มันเป็นช่วงเช้าที่ได้เดินไปยัง Queenferry ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของ Edinburgh แต่ระหว่างทางเราก็ไม่ได้พูดอะไรกับใครเลยสักคำ ทันใดนั้นในขณะที่เรายืนอยู่บนยอดเขา เราก็เห็น Firth of Fouth ตรงเบื้องล่างของเรา มันมีสีฟ้าและสงบนิ่ง และมีเรือใบสีขาวลอยอยู่ด้วย
แกเห็นบ้านสาธารณะหลังนั้นไหมคุณลุงถามขึ้นมา กัปตันHoseason ซึ่งเป็นคนทำธุรกิจกับข้าอยู่ที่นั้นมีเรือสำราญอยู่ที่ชายหาดด้วย รอเพื่อที่จะให้เขาพาเราไปที่เรือสำราญนั้นซึ่งมันเป็นเรือที่สุดยอดมาก
ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของเขา ลูกเรือกำลังเตรียมพร้อมเรือเพื่อที่จะออกเดินทาง และฉันก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก และมันก็จะเป็นเช่นนั้นที่จะเดินเรือไปยังประเทศอื่นๆ
เราเดินลงไปยังผับแล้วก็ได้พบกับกัปตันที่นั้น เขาเป็นตัวสูง ทะมึน มีสีหน้าที่เคร่งเครียด เขาจับมือกับผมอย่างสุภาพ มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากผมจึงปล่อยให้เขาสองคนปรึกษากันเรื่องธุรกิจ และผมวิ่งลงไปที่ชายหาด เพื่อที่จะดูเรือและพูดคุยกับลูกเรือ มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ทั้งหมด เขาก็สนใจผมเป็นอย่างมาก
                ในขณะที่ผมกำลังเดินกลับไปก็ได้พบกับเจ้าของผับ
                อรุณสวัสดิ์เขาพูดขึ้นมา นี่แกมากับEbenezerใช่ไหม
                “ใช่ครับผมตอบเขาไป เขาเป็นคนไม่ดี ผมเข้าใจ
                “นั่นถูกต้องแล้วเขาตอบ ไม่มีใครบอกว่าเขาเป็นคนดี เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากเรื่อง Mr. Alexander น้องชายของเขา
                เรื่องอะไรเหรอผมถามเขาไป
                โอ้ ก็แค่Ebenzer คิดจะฆ่าเขาไง แกไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นเลยเหรอ
                “แล้วทำไมถึงเขาจะฆ่าพ- คือผมหมายความว่า Alexander นั้นแหละ
                “เพื่อที่แย่งบ้าน แน่นอน บ้านของ Shaws”
                ใช่ครับ แล้วAlexander แก่กว่า Ebanzerใช่ไหม
                “จริงๆมันก็ใช่อยู่นะ คงไม่มีเหตุผลอื่นที่จะฆ่าเขาเลย
                นั่นมันทำให้ผมประหลาดใจสุดๆ ผมคิดมาตลอดว่าทำไมพ่อถึงอ่อนกว่าน้องชาย และผมก็เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้แหละว่าทำไมลุงถึงโกหก และต้องการจะฆ่าผม บ้านของShaws มันเป็นของพ่อมาตลอดและตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่ผมจะสืบทอดมัน เด็กผู้ชายบ้านๆจนๆคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเดินมาจาก Essendean จะเป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่ แปลงเกษตร ในหัวของผมมันปั่นป่วนไปด้วยสิ่งประหลาดมากมายซึ่งมันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตของผม แล้วผมก็หลับตาแล้วมองออกไปยังทะเล
                ในประเดี๋ยวนั้นคุณลุงและกัปตันก็ออกมาจากผับ กัปตันยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วก็พูดกับผม ท่านครับ เขาพูดออกมา “Balfour เขาได้บอกผมเกี่ยวกับเรื่องของคุณตั้งมากมายแล้ว ผมขอโทษเป็นอย่างยิ่งที่ไม่มีเวลาทำความรู้จักคุณให้มากกว่านี้ แต่ผมต้องการให้คุณมาที่เรือก่อนเดินทางสักครึ่งชั่วโมงก่อนเดินทาง เพื่อมาดื่มกับผม
                ตอนนี้มันมีอะไรตั้งมากมายในโลกนี้ที่ผมต้องการเห็นในเรือสำราญลำนี้ แต่ผมก็จำได้ว่าผมต้องระมัดระวังให้เป็นอย่างดี ผมและคุณลุงต้องไปหาทนายความ ใช่ไหมท่าน ผมตอบไป และผมก็กลัวว่าบางทีเราก็ไม่มีเวลาพอ
                ใช่ ใช่เขาตอบผมมา ข้ารู้ว่าแกเห็น เรือนั้นสามารถวางแกทั้งสองลงใกล้กับบ้านของRankeillor หลังจากที่แกได้เห็นเรือนั้นแล้วแกก็จะเสียเวลาทันใดนั้นเขาก็พูดข้างหูของผมเบาๆว่ามองไปที่ชายแก่คนนั้นเขาพยายามที่จะทำร้ายแกนะ มาพูดเรื่องนั้นกันเขาได้วางมือไว้ที่ผมแล้วก็พูดดังๆว่า อะไรบ้างที่สามารถทำให้แกออกไปจากการเดินทางของข้า เพื่อนของBalfour ก็เหมือนเพื่อนของข้า
                ในตอนนี้เราอยู่บนชายหาด และเขากำลังช่วยคุณลุงและผมออกจากเรือนั้นๆ ผมคิดว่าผมได้ผมผู้ช่วยเหลือและเพื่อนที่ดี และผมก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาเมื่อได้เข้าใกล้เรือที่ยอดเยี่ยมเต็มไปด้วยความวุ่นวายและลูกเรือเสียงดัง ผมและกัปตันเป็นคนแรกที่ปีนขึ้นไปจากด้านข้างของเรือไปยังส่วนที่สูงที่สุด ทันทีทันใดกัปตันก็วางมือมายังผม และเราก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรือลำนี้
                แต่คุณลุงของผมอยู่ไหนละผมก็ถามขึ้นในทันใดนั้น ผมก็ถอยตัวออกห่างจากกัปตัน และวิ่งไปด้านข้างของเรือ นั่นไง มีเรือที่จะกลับไปยังQueenferryและลุงของผมก็กำลังนั่งอยู่บนนั้น ผมกรีดร้องออกมา ช่วยด้วย ช่วยด้วย ฆาตกร และคุณลุงหันกลับมายังผมอย่างช้า
                แล้วผมก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย แล้วก็มือที่แข็งแรงดึงผมกลับไป แล้วก็มีบางสิ่งตีลงบนหัวของผม ผมเห็นไฟแวปหนึ่งแล้วก็ร่วงกราวลงกับพื้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น