วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 4 (ในห้องเรียน)

Tense
ภาษาแต่ละภาษามีความแตกต่างกันทางด้านโครงสร้าง ไวยากรณ์ หรือหลักภาษา อย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของภาษา คือ คำ วลี อนุประโยค จนทั่งถึงประโยคที่มีความซับซ้อน แต่ ณ ที่นี้จะกล่าวถึงเรื่องของกาล หรือ Tense ในภาษาอังกฤษจะมีความแตกต่างกับภาษาไทยอย่างมากมาย กล่าวคือ คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องมีการแสดงถึงกาลเสมอว่าตัวมันเองเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือว่าอนาคต ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้คำกริยาโดยปราศจากการบ่งชี้กาล เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาจะแยกความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ในอดีตหรือไม่ใช่อดีต และยังแยกต่อไปอีกว่าเป็นปัจจุบันหรืออนาคต ซึ่งกาลหรือ Tense ในภาษาอะงกฤษมีทั้งหมด 12 tense แต่ผมจะกล่าวถึงเพียง 3 tense เท่านั้น ซึ่งผมได้ไปศึกษาและรวบรวมข้อมูล เนื่องจากผมยังจะไม่ค่อยเข้าใจ นั้นก็คือ present perfect continuous, past perfect continuous และ future perfect continuous

present perfect continuous จะใช้โครงสร้างในรูป subject+ has/have+been+v.ing จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันและยังดำเนินต่อเนื่องไปในอนาคต โดยมักจะใช้คำว่า since และ for เช่น She has been sitting here for an hour. ซึ่งจะแปลได้ว่าเธอได้นั้งตรงนี้มาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้ว(และเธอยังคงนั่งต่อไป) และบางครั้งยังนำมาใช้กับเหตุการณืที่สิ้นสุดลงแล้วแต่ส่งผลมายังปัจุบัน เช่น  You look tired.Have you been sitting properly? ซึ่งแปลได้ว่า คุณดูเหนื่อยจัง คุณได้นอนหลับมาเพียงพอหรือเปล่า นอกจากนี้มีเคล็ดลับที่ควรจำก็คือ คำกริยาที่ใช้กับ tense นี้จะต้องเป็นคำกริยาที่แสดงถึงความต่อเนื่องหรือคำกริยาที่แสดงถึงการกระทำที่นานเท่านั้น เช่น play, look, watch, learnh, live และอื่นๆ โดยไม่สามารถใช้กับคำกริยาที่ไม่ต่อเนื่องหรือกริยาที่แสดงถึงการกระทำที่จบลงในทันทีทันใดได้ เช่น stop, prefer, arrive เป็นต้น เช่น I have been playing games since afternoon ซึ่งแปลได้ว่า ฉันได้เล่นเกมส์มาตั้งแต่ตอนบ่าย (มีแนวโน้มที่จะเล่นต่อไปอีก) presnt perfect continuous จะเน้นความต่อเนื่องของการกระทำมากกว่า present perfect ดูได้จากตัวอย่างต่อไปนี้ Bill has lived in bangkok since 1975 ซึ่งจะหมายความว่า Bill ได้อาศัยที่กรุงเทพตั้งแต่ปี 1975จะบ่งชี้ว่าต่อไปในอนาคตเขาจะอยู่อีกหรือไม่ แต่อีกตัวอย่างนั้นก็คือ Bill has been living in Bangkok since 1975 ประโยคนี้เป็นการเน้นย้ำความต่อเนื่องซึ่งจะแปลได้ว่า Bill ได้อยู่ในกรุงเทพตั้งแต่ปี 1975 ซึ่งแน่นอนว่าเขามีแนวโน้มที่จะอยู่ต่อไปในอนาคต

past perfect continuous ใช้โครงสร้างในรูป subject+had+been+v.ing ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงอีกเหตุการณืหนึ่งในอดีต โดยอาจจะใช้กับว่า sinceและfor ตัวอย่างเช่น "She had been shouting for help since she fall down the stairs." ซึ่งแปลได้ว่า "เธอร้องขอความช่วยเหลือตั้งแต่เธอตกบันไดลงมา " หรือจะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในอดีต และสิ้นสุดลงแล้ว เช่น "I had been smoking for 5 month" แปลว่า "ฉันเคยสูบบุหรี่มาเป็นเวลา 5 เดือน(แต่ตอนนี้หยุดสูบแล้ว" past perfect continuous จะเน้นถึงความต่อเนื่องของการกระทำมากกว่า past perfect tense ดังตัวอย่างดังต่อไปนี้ "The telephone had been ringing for 5 minutes before it was answered." ซึ่งจะมีความหมายว่า "โทรศัพท์ได้ดังติดต่อกันมาเป็นเวลา 5 นาทีแล้วก่อนที่จะมีผู้รับสาย" ย่อมได้ความหมายดีกว่าประโยคที่ว่า "The telephone had rung for 5 minutes before it was answered." แต่ประโยคนี้ก็ไม่ได้ผิด แต่มีความหมายหนักแน่นสู้ประโยคแรกไม่ได้ เนื่องจากประโยคแรกเน้นถึงการที่โทรศัพท์ดังติดต่อกันมาเป็นเวลา 5 นาที ซึ่งประโยคหลังไม่มีการเน้นดังกล่าว

future perfect continuous จะใช้โครงสร้างในรูป S+will/shall+ have + been + v.ing มีวิธีใช้เหมือนกับ future perfect tense ต่างกันเพียงตรงที่ future perfect continuous นั้นเน้นเหตุการณ์หรือการกระทำที่ดำเนินอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งและยังคงดำเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยมักจะใช้กับ for เพื่อแสดงระยะเวลาของเหตุการณ์ หรือการกระทำนั้นๆ เช่น "By 2012, we will have been living in Bangkok for 7 years." หมายความว่า "ในปี 2012 ก็จะครบรอบที่เราอยู่
กรุงเทพเป็นเวลา 7 ปี tense นี้ยังสามารถใช้กับเหตุการณ์ที่ต้องเน้นความต่อเนื่องของการกระทำใดกระทำหนึ่งในอนาคต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะใช้ future perfect continuous tense และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจะใช้ present simple ตัวอย่างเช่น "He shall have been cleaning his room for an hour when I visit him." ซึ่งมีความหมายว่า "เขาน่าจะกำลังทำความสะอาดห้องของเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วในตอนที่ฉันไปหาเขา"

ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ภาษาอังกฤษจะถือว่าเรื่องเวลาของเหตุการณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก ทุกๆประโยคที่จะพูดหรือเขียน จะต้องแสดงให้ชัดว่าเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน อนาคต และเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อนหลัง แต่ภาษาไทยจะถือว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะผู้อ่านสามารถตีความจากบริบทได้ นอกจากกระผมจะได้เห็นถึงความแตกต่างของภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในเรื่องของ tense แล้ว ผมก็ยังสามารถเติมเต็มเรื่อง tense ในบางเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น