วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Kidnapped

3
David is alone

          มันช่างเป็นค่ำคืนที่เหน็บหนาว ดังนั้นผมไม่สามารถที่จะนั่งพักได้เลย ผมเดินไปเดินบนหาดทราย พยายามเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ไม่มีเสียงใดๆเลยนอกจากเสียงคลื่นซัดสาดปะทะกับผืนทราย ผมรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัวมาก
                รุ่งเช้า ผมปีนขึ้นไปบนเนินเขาลูกหนึ่ง และมองออกไปยังทะเล แต่มันไม่มีอะไรเลยมีเพียงผืนน้ำที่ว่างเปล่า รอบๆตัวผมบนเกาะนั้น ผมไม่เจออะไรเลยแม้กระทั่งบ้านและผู้คน ผมไม่ชอบคิดถึงเรื่องที่ได้เกิดขึ้นกับเพื่อนของผมทั้ง Alan และคนอื่นๆ และผมไม่ต้องการที่จะมองเห็นเพียงแต่ความว่างเปล่าไปนานกว่านี้ ดังนั้นผมจึงปีนลงมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเดินตรงไปยังทิศตะวันออก และผมกำลังมีความหวังที่ว่าจะพบบ้านสักหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ให้ผมได้ตากเสื้อผ้าและได้มีอะไรสักอย่างที่จะตกถึงท้อง
                ไม่นานผมก็ได้พบว่าไม่มีใครเลยที่จะอาศัยอยู่บน Earraid มันไกลเกินกว่าที่จะว่ายน้ำไปยัง Mull ซึ่งเป็นที่ที่ผมมองข้ามน้ำไปเจอ ผมคิดว่าบางทีผมสามารถเดินลุยน้ำผ่านไปได้ แต่เมื่อผมได้พยายาม ก็ได้พบว่าน้ำมันลึกเหลือเกิน จึงต้องถอยกลับมา แล้วในที่สุดฝนก็ได้ตกลงมา ผมรู้ว่าตอนนี้ผมได้ตกอยู่บนความลำเค็ญอย่างหนัก
                ทันใดนั้นผมก็คิดขึ้นถึงไม้แผ่นหนึ่งซึ่งได้ช่วยชีวิตผมมาแล้วครั้งหนึ่ง มันคงจะช่วยผมข้ามผ่านทะเลไปยัง Mull ได้ ดังนั้นผมจึงได้เดินกลับไปทางเดินไปยังชายหาดที่ซึ่งผมได้ขึ้นฝั่งมา แผ่นไม้ชิ้นนั้นได้ลอยอยู่ในทะเล ผมจึงเดินลุยน้ำเพื่อไปคว้ามันกลับมา แต่ในขณะที่ผมเข้าไปใกล้ มันก็เคลื่อนตัวออกห่างจากผม และเมื่อถึงที่น้ำมันลึกมากเกินที่ผมจะยืนได้ ไม้แผ่นนั้นก็ยังลอยห่างจากผมหลายเม็ด  ผมจึงต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป และได้ย้อนกลับไปยังชายหาดอีกครั้ง มันช่างเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายสำหรับผม  ผมกำลังมีความรู้ว่าช่างเหนื่อย หิวและกระหายมาก กับความหวังที่แสนเลือนรางกับการที่จะไปให้พ้นจากเกาะร้างนี้
เป็นครั้งแรกหลังจากที่ผมได้ออกมาจาก Essendean ที่ผมได้กลิ้งเกลือกและร้องไห้
                ผมไม่ต้องการที่จะจดจำเวลาที่ผมได้ใช้ในตอนที่อยู่ Earraid  ผมไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยยกเว้นก็แต่..........เนื่องจากว่าผมไม่เคยอยู่ใกล้ทะเลมาก่อน ผมไม่รู้วิธีการจับปลาเลย  แต่ในความจริงแล้วผมได้เจอหอยเชลล์อยู่ท่ามกลางกองหินบริเวณชายฝั่ง และก็ได้กินพวกมัน แต่หลังจากนั้นผมก็มีอาการไม่ดีเลย นั้นเป็นเพียงอาหารสิ่งเดียวที่ผมพบเจอ ดังนั้นผมจึงอยู่สึกหิวอยู่ตลอดเวลาในตอนที่อยู่ที่ Earriad ฝนตกหนักทั้งวันทั้งคืน บนเกาะนี้ไม่มีหลังคาหรือแม้ระทั่งต้นไม้บนเกาะนี้เลย และเสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่ก็เปียกแฉะไปทั้งตัว
                ผมเลือกที่จะใช้เวลาทั้งหมดของผมอยู่ในทางเหนือของ Earriad ซึ่งมันเป็นแค่เนินเขาเล็กๆ  และในตอนนี้ผมสามารถมองเห็นโบสถ์เก่าๆอยู่บนเกาะ Iona ซึ่งไม่ไกลจากที่นี่ไปทางทิศตะวันตก และยังสามารถมองเห็นควันไฟจากบ้านของผู้คนบนเกาะ Mull ในทางทิศตะวันออก ผมเคยมองเห็นควัน และคิดว่าต้องมีผู้คนอยู่ที่นั้นด้วยความสะดวกสบาย สิ่งนี้มันทำให้ผมมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย ในชีวิตอันโดดเดี่ยวของผมท่ามกลางก้อนหิน สายฝน และทะเลอันเหน็บหนาว
สองวันผ่านไป และในวันที่สามก็มีสองสิ่งที่เกิดขึ้น อันแรกผมพบว่าผมได้ทำเงินของผมหายไปเกือบหมดซึ่งมันเล็ดลอดออกไปจากช่องโหว่ของกระเป๋า ผมมีเงินเหลืออยู่เพียงสามปอนด์จากเงินทั้งหมดสามสิบแปดปอนด์ที่ลุงได้ให้ไว้ แต่เลวร้ายไปกว่านั้น ในขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่บนก้อนหิน มองออกไปซึ่งได้อยู่เหนือ Iona ทันใดนั้นผมก็ได้สังเกตเห็นเรือลำเล็กกำลังแล่นอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็ว ผมกระโดดขึ้นสุดตัวและตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่ผมจะตะโกนได้ สองชายหนุ่มบนเรือซึ่งอยู่ใกล้พอที่จะได้ยิน พวกเขาได้ตะโกนกลับมาใน Gaelicและหัวเราะ แต่เรือก็ไม่ได้วนกลับมายังคงแล่นต่อไป และหายไปต่อหน้าต่อตาผมไปยัง Iona
ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาไม่กลับมาช่วยผม ผมยังตะโกนโวยวายอย่างเดิม ถึงแม้พวกเขาอยู่ไกลเกินกว่าที่ผมจะมองเห็นได้แล้วก็ตาม ในขณะนั้น ผมก็ทิ้งตัวลงนอนและร้องไห้เป็นครั้งที่สอง ในเวลานี้ผมไม่ได้เศร้าแล้ว ผมก็แค่โกรธ เพราะผมคิดว่าพวกเขาได้ทิ้งผมให้ตายอย่างเดียวดายในสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้
ในเช้าของวันถัดมา ผมรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นสองหนุ่มคนเดิมกำลังแล่นเรือมายัง Earraid ซึ่งพวกเขาได้มาจาก Iona ในครั้งแรกผมได้วิ่งลงจากกองหินเพื่อที่จะไปพบพวกเขา เรือเข้ามาใกล้ผม แต่ก็จอดในน้ำอยู่ห่างจากผมเมตรสองเมตร มีผู้ชายคนที่สามอยู่บนเรือ ซึ่งกำลังพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นๆ ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นและพูดกับผมอย่างฉับพลันใน Gaelic ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ ในบางครั้งเขาใช้ภาษาคำเก่าๆในภาษาอังกฤษ และครั้งหนึ่งผมก็ได้ยินคำว่า “tide” ซึ่งมันได้จุดประกายความหวังของผมขึ้นมา
คุณหมายความว่า น้ำลงใช่ไหมผมร้องถาม และก็ไม่ได้จบประโยค
ผมหันหลังกลับจากเรือและวิ่งกลับไปทางตะวันออกด้วยความตื่นเต้น ซึ่งเป็นที่ที่ Earriad ได้อยู่ใกล้กับMull และผมแน่ใจพอว่า มีน้ำได้ลดลงและมีน้ำเพียงเล็กน้อยระหว่างเกาะนั่น ผมสามารถเดินลุยน้ำผ่านไปอย่างง่ายดาย เมื่อไปถึง Mull ก็ได้ตะโกนอย่างมีความสุข ผมมันโง่อะไรขนาดนี้ที่ไม่เข้าใจว่ามันจะเป็นไปได้ที่จะมาถึง Mull ได้ วันหนึ่งน้ำจะลงสองครั้ง ตอนนี้ผมรู้สึกขอบคุณชาวเรือพวกนั้นชี้นำการแก้ปัญหาของผม และก็กลับมาช่วยผม
ผมเดินตรงไปยังที่ที่มีควันซึ่งผมได้เห็นมันบ่อยครั้งในขณะที่อยู่ใน Eirriad และเข้าใกล้ บ้านต่ำๆที่สร้างด้วยหิน ด้านนอกมีผู้ชายแก่ๆนั่งอยู่ กำลังนั่งสูบไปป์อยู่ในแสงอาทิตย์ เขาพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยและได้บอกผมว่าเจ้าหน้าที่และลูกเรือของเรือขนส่งเดินทางกลับออกไปจากที่นี้อย่างปลอดภัยเมื่อวันสองวันมานี้
หนึ่งในนั้นมีคนที่สวมชุดสุภาพใช่ไหมผมถามเขาไป
ใช่ๆ มีแบบนั้นแหละแล้วเขาก็ยิ้ม แกต้องเป็นเด็กหนุ่มที่มีกระดุมเงินใช่ไหม
ทำไมละ, ใช่ๆผมพูดออกไปอย่างประหลาดใจ
ก็ดีเลย เพื่อนของแกได้บอกไว้ว่าแกต้องตามเขาไปที่บ้านของ James Stewart ญาติของเขา ในเมือง Appin”
เขาและภรรยาได้ให้เครื่องดื่มแก่ข้า และคืนนั้นเขาให้ข้านอนค้างที่บ้านของเขา ในรุ่งเช้า ข้าขอบคุณพวกเขาด้วยเหตุที่เขาใจดี และเริ่มการเดินทางของผมไปยังเมือง Appin
ผมเดินผ่าน mull ไปยัง Torosay ซึ่งเป็นที่ที่ผมขี่เรือข้ามน้ำไปยัง Lochaline เวลานั้นผมได้เดินไปถึง Kinggailock ซึ่งเป็นที่ที่จะขึ้นเรือเพื่อที่จะจากLoch Linnhe ไปยัง Appin นี่มันก็ย่างเข้าวันที่ 6 และในระหว่างทางผมได้พบและพูดกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ผมได้ยินเรื่องทั้งหมดของตระกูล Alan Stewart ศัตรูของพวกเขา และCambell ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะเป็นตระกูลที่อยู่ใน Hilander คนอื่นๆก็ยังเกลียดCambell และ Stewart มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งตอนนี้ Cambell กำลังช่วยเหลือกองทัพอังกฤษขับไล่ชาว Hilander ออกไปจากถิ่นของพวกเขา
จริงๆแล้ว ในวันสองวันนี้ ผมได้ยินว่า Colin Campbell กำลังเดินทางมา Appin กับทหารของ Kins’Geogorge เพื่อขับไล่ Stewart ออกไป และทำลายศัตรูให้สิ้นซาก แต่ผมก็ยังได้ยินว่า Jame Stewart ซึ่งเป็นผู้นำของตระกูล Stewart ใน Appin ซึ่งเขาและพวกญาติๆจะยินดีอย่างยิ่งถ้าได้เห็นการตายของ Colin Campbell
ผู้คนยังได้พูดถึงชายผู้หนึ่งที่ถูกเรียกว่า Alan Breck บางคนเรียกเขาว่า ฆาตกร และคนอื่นๆก็พูดว่าเขาเป็นนักสู้ที่กล้าหาญ เขาต้องตกอยู่ในความอันตรายอยู่ทุกเวลา เขาได้กลับมายัง Hilander เพราะทางอังกฤษได้ตั้งค่าหัวเขาไว้ ผมได้ฟังอย่างสนใจกับทุกสิ่งที่พวกเขาได้บอกผม แต่สิ่งที่ผมชอบมันมากที่สุดคือเมื่อผมได้ยินเรื่องของ Alan ที่ว่าเขาเป็นชายที่สุดยอด และเป็นผู้มีเกียรติแห่ง Hilander
เมื่อผมลงเรือใน Appin ผมตัดสินใจที่จะนั่งอยู่ท่ามกลางต้นไม้และตัดสินใจที่ว่าจะทำอะไรต่อไป ผมควรเดินหน้าต่อไปอีกไหม เพื่อที่จะไปร่วมกับ Alan ซึ่งเป็นมิตรของผมและเป็นศัตรูของ King’s George
ซึ่งชีวิตของผมก็เต็มไปด้วยอันตราย หรือว่าผมควรจะกลับไปทางใต้อีกครั้งหนึ่ง อย่างเงียบและปลอดภัย ไปยัง Lowland ดีไหม ?
                ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น ชาย 4 คนได้ขี่ม้าผ่านผมไปบนท้องถนน ในขณะเดียวกันที่ผมเห็นพวกผู้ชายเหล่านั้น ผมตัดสินใจที่จะผจญภัยต่อไป ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ผมต้องผงะลงในครั้งแรก กับผู้ชายรูปร่างสูงและมีผมสีแดง
                “บอกฉันหน่อยได้ไหมว่าบ้านของ James Stewart ไปทางไหนผมถาม
                ผู้ชายทั้งหมดนั้นต่างก็มองตากัน ชายผมสีแดงนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่เขาพูดกับชายหนึ่งในนั้น ผู้ที่ดูเหมือนกับนักกฎหมาย  “Stewart กำลังเรียกคนมารวมกันหรือเปล่าวะ แกคิดว่าไง
                นักกฎหมายผู้นั้นตอบ เราควรจะรอกำลังทหารที่จะมาสนับสนุนเราก่อนที่เราไปที่ไหนต่อ
                ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้ว่าชายผมแดงนั้นต้องเป็น Colin Campbell “ถ้าคุณไม่ไว้วางใจผมผมพูด ผมไม่ใช่คนของ Stewart แต่เป็นชาว Lowland ผมนับถือ King George
                “พูดดีนิ” Campbell ตอบ แต่ ฉันขอถามอะไรสักอย่าง ว่าทำไม ชาว Lowland เหมือนแกนิต้องมาจากบ้านไกลถึงขนาดนี้ วันนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวเลย นี้มันเป็นวันที่ Appin Stewart จะต้องออกจากฟาร์มของพวกเขา และพวกเขากำลังตกยากอยู่เลย
                เขาได้หันกลับไปคุยกับนักกฎหมายอีกครั้ง แต่เมื่อเขาได้เข้าใกล้เชิงเขา Campbell ได้ร่วงลงจากม้าของเขา พวกมันยิงข้าแล้ว” Campbell ร้องออกมา แล้วเอามือกุมหัวใจไว้
                เขาเกือบจะเสียชีวิตในทันทีทันใด หน้าของชายหนุ่มซีดลงเมื่อมองไปยังร่างของCampbell ผมเห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนตัวไวๆ อยู่บนเนินเขานั้น ผมสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายถือปืนหันมาทางถนน
                “ดูนั้นสิ ฆาตกรผมร้องลั่นออกไป และได้วิ่งขึ้นตรงไปบนเชิงเขา เขาเห็นผมจะจับเขา เขาเลยหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็ได้ปรากฏอยู่บนก้อนหิน และมันไกลเกินที่ผมจะสามารถมองเห็นได้
ผมได้หยุดอยู่ที่ต้นไม้ต้นถัดไป ในขณะนั้นผมได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากถนน นักกฎหมายผู้นั้นกำลังตะโกนไปยังทหารที่ใส่เสื้อคลุมสีแดงจำนวนมาก ถึงพวกเขากำลังห่อมล้อมดูการตายของ Campbell “เอาไปเลย 10 ปอนด์ถ้าใครจับมันได้เขาร้องลั่นออกมา เขาคือหนึ่งในฆาตกร เขาหยุดพวกเราไว้ที่ถนน เพื่อที่จะให้นักฆ่าสามารถมีโอกาสที่ดีในการยิง Cambell”
                ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามีความกลัวเข้ามาใหม่อีกแล้ว ชีวิตของผมต้องตกอยู่ในความอันตรายอย่างมากถึงแม้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยก็ตาม รู้สึกว่าปากของผมแห้งลง และเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย ผมยืนอยู่บนเนินเขาด้วยสภาวะจำยอม ในที่ขณะที่เหล่าทหารยกปืนของพวกเขาขึ้นพร้อมที่จะยิง
                กระโดนมาในพงไม้นี่มีเสียงพูดข้างๆผม
                ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง แต่ผมก็ทำตามที่เขาบอกนั่น ในขณะที่ผมทำเช่นนั้น ผมได้ยินเสียงปืนลั่นหลายนัก ผมรู้ดีว่าทหารทั้งหมดนั้นกำลังยิงมาที่ผม ในเงาของต้นไม้นั้นผมพบกับ Alan Breck กำลังยืนอยู่ที่นั่น เป็นเขานี่เองที่บอกผมให้ทำยังนั้นเมื่อครู่นี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น