วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 4 (นอกห้องเรียน)

part of sentence
ทุกวันนี้ภาษาอังกฤษได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปเสียแล้ว การดำเนินชึวิตของเราในแต่ละวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี การศึกษา และการคมนาคม เป็นต้นย่อมมีภาษาอังกฤษเข้ามาเป็นสื่อกลางในการทำความเข้าใจสิ่งนั้นๆ ภาษาอังกฤาถูกหยิบยกขึ้นให้เป็นภาษาทางการของโลกที่ใช้สื่อสารกับผู้คนมากมาย ดังนั้นการศึกษาและการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้ดราสามารถเข้าใจความหมายของภาษาที่ต้องการจะสื่อได้ตรงกัน  เราจำเป็นต้องศึกษาเจาะลึกลงไปให้ถึงโครงสร้างของไวยากรณ์หรือหลักภาษา เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าภาษาแต่ละภาษาจะมีโครงสร้างทางไวยากรณ์ที่แตกต่างกันไป ในภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน ก่อนที่เราจะใช้ทักษะทางภาษา ฟัง พูด อ่าน เขียน และแปลได้นั้น เราต้องมีการศึกษาทำความเข้าใจให้แนบแน่นเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาลักษณะของประโยคเป็นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก เราจึงต่องศึกษาอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะนำไปใช้ให้เกิดความหมายและความเข้าใจที่ตรงกัน ในภาษาอังกฤษรูปแบบประโยค มีอยู่ 4 ประเภท คือ 1. simple sentence 2. compound sentence 3.complex sentence 4.complex-compound sentence
1.simple sentence แปลเป็นภาษาไทยได้ว่าประโยคความเดียวหรือเอกัตถประโยค นั้นก็หมายถึงข้อความที่พูดออกมาแล้วมีใจความเดียวไม่กำกวมสามารถเข้าใจเป็นอย่าวเดียวกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งในประโยคจะมีประธานตัวเดียวกระทำกริยาตัวเดียวเช่นกัน ตัวอย่างเช่น "Tawan is my friend." ซึ่งจะแปลได้ว่า ตะวันเป็นเพื่อนของฉัน และอีหนึ่งประโยคคือ "Buddism is one of the great world religions." ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ศาสนาพุทธเป็นหนึ่งในบรรดาศาสนาโลกที่ยิ่งใหญ่ เราจะสังเกตได้ว่าประโยคดังกล่าวนั้นมีประธานตัวเดียวทำกริยาตัวเดียวดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว นอกจากนี้ยังแบ่งย่อยออกเป็น 6 รูปแบบอีกด้วย
1.1 ประโยคบอกเล่า หรือ affirmative sentence
1.2 ประโยคปฏิเสธ หรือ negative sentence
1.3 ประโยคคำถาม หรือ interrogative sentence
1.4 ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ หรือ negative question sentence
1.5 ประโยคขอร้องหรือบังคับ หรือ imperative sentence
1.6 ประโยคอุทาน หรือ cexclamation sentence
2.compound sentence แปลเป็นภาษาไทยได้ว่าประโยคความรวมหรือเนกัตประโยค ซึ่งหมายความว่าประโยคมีข้อความสองข้อความมารวมกันหรือกล่าวในอีกแง่หนึ่งว่า ประโยคความเดียวสองประโยคมารวมกันแล้วเชื่อมด้วย co-ordinate conjunction หรือตัวเชื่อมประสาน และ conjunction adverb หรือคำวิเศษณ์เชื่อม
2.1 compound sentence ที่เชื่อมด้วย co-ordinate comjunction ซึ่งได้แก่ for, or, nor, and, but, so, yet, etc. ตัวอย่างเช่น "Tawan can speak English and he can speak Lao" ซึ่งจะมีความหมายว่า "ตะวันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้และเขาสามารถพูดภาษาลาวได้" และอีกหนึ่งตัวอย่าง "Teerapan does not study Lao yet he can speak it" ซึ่งหมายความว่า "ธีระพันธ์ไม่ได้เรียนภาษาลาวถึงกะนั้นเขาก็สามารถพูดภาษาลาวได้"
2.2 compound sentence ที่เชื่อมด้วย conjunction adverb ซึ่งได้แก่ however, meanwhile, therefore, other, thus, etc. ตัวอย่างเช่น "Papa was ill, thus he went to see a doctor at a hospital." ซึ่งมันมึความหมายว่า "ปาปาป่วยดังนั้นเขาจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง" และอีกตัวอย่างก็คือ "Jess comes to see me at a temple, meanwhile I teach her Buddism." ซึ่งมันก็ความว่า "เจสมาหาผมที่วัดระหว่างนั้นผมก็สอยพุทธศาสนาให้เขาด้วย"
3. complex sentence ซึ่งจะแปลเป็นไทยได้ว่า ประโยความซ้อนหรือสังกรประโยคซึ่งหมายความว่า ประโยคที่มีเนื้อความซ้อน ถ้าขาดเนื้อความใดเนื้อความหนึ่ง จะทำให้เนื้อความไม่สมบูรณ์ หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ประโยค complex sentence ประกอบด้วยประโยคหลัก 1 ประโยค และประโยครอง 1 ประโยค ประโยคหลัก(main clause, independent clause) คือประโยคที่มีเนื้อความสมบูรณ์ในตัวเอง มีประธานและตัวขยายของตัวมันเองไม่ได้ขึ้นตรงกับประโยคอื่นและประโยครอง(subordinate, dependent clause) คือประโยคที่ต้องอาศัยประโยคหลักอยู่ ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง เพราะเนื้อหาของประโยครองเป็นเนื้อหาที่ใช้ขยายหรืออธิบายประโยคหลัก จะทำหน้าที่เป็นกรรม ส่วนขยาย หรือกริยาเป็นต้น ในประโยค complex sentence มีตัวเชื่อมที่ใช้ระหว่างประโยค main clauseและsubordinate clause มีอยู่ 3 ตัวก็คือ 1. subordinate conjunction, relative pronoun และ relative adverb
4.compound complex sentence ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่าประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังการประโยค ซึ่งหมายความว่า ประโยคใหญ่ตั้งแต่สองประโยคขึ้นไปมารวมกันโดยที่ ประโยคใญ่ท่อนหนึ่งนั้นจะมีประโยคเล็กซ่อนอยู่ภายใน หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการผสมระหว่างประโยคความรวมกับประโยคความซ้อนหรือบางทีเรียกว่า mixed sentence นั้นเอง มีตัวอย่างดังต่อไปนี้ I saw no one in the house which you had told me about, so I didn'tgo in ซึ่งแปลได้ว่า"ผมไม่เห็นใครอยู่ในบ้านซึ่งคุณได้บอกผมให้ทราบนั้นเลย ดังนั้นผมจึงไม่เข้าไปข้างใน" จากประโยค ที่ได้กล่าวมานั้นจะมีอยู่สองประโยคใหญ่ คือ "I saw no one in the house which you had told me about" และ "so I didn't go in" จะเห็นได้ว่าประโยคแรกมีประโยคเล็กซ่อนอยู่ภายในก็คือ "which you had told me about"
ถึงอย่างไรก็ตามการศึกษาโครงสร้างทางไวยากรณ์หรือหลักภาษานั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยเราในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลทั่วไป มีความแม่นยำและเข้าใจความต้องการต่างๆ ได้ตรงตามที่ประสงค์ ในช่วงแรกมีความสับสนเป็นอย่างมากกับลักษณะของประโยคและความหมายของมัน จากการที่ผมได้ไปศึกษาค้นคว้ารวบรวมขอมูล ทำให้ผมเข้าใจมากยิ่งขึ้นถึงแม้จะไม่เข้าใจรายละเอียดทั้งหมดก็ตาม นอกจากนั้นยังช่วยผมในการเรียนภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะในเรื่องของการแปล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น